การเลือกน้ำมันเครื่อง ให้เหมาะกับรถของเรา

ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของรถอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งในการดูแลรถยนต์ของเราคือ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง นั้นเองแน่นอนว่าเราก็ต้องเลือกที่ดีและเหมาะกับรถเรา เพื่อยืดอายุการใช้งานให้รถเราให้ได้ยาวนานขึ้น แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ารถยนต์ ควรใช้เบอร์ไหน ใช้ของแบรนด์ไหน วันนี้ STM จะพาคุณไปหาคำตอบกัน

แน่นอนว่ารถแต่ละรุ่นอาจใช้ไม่เหมือนกัน และก็ขึ้นอยู่ที่ระยะการใช้งานด้วย ต้องดูคู่มือโรงงานด้วยว่าใช้เบอร์ไหน ในการเปลี่ยนต้องทำเป็นประจำทุกๆ 9,000-10,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 6 เดือน หรือขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากรถใช้งานหนักและบ่อยก็ควรเปลี่ยนทุกๆ 5,000-6,000 กิโลเมตร หรือทุก 3 เดือน ถ้าไม่เปลี่ยนตามกำหนดอาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ได้ เช่น กำลังเครื่องยนต์ลดลง มีผลต่ออัตราเร่งเครื่อง หรือถึงขั้นอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ต้องเสียค่าซ่อมอย่างมหาศาลอีกด้วย

มีประเภทไหนบ้าง

📌แต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ซึ่งแบ่งได้ 3 แบบคือ 📌

ธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตเลียมที่เหลือมาจากการกลั่น ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กิโลเมตร จะมีอายุการใช้งานสั้นที่สุดในบรรดาน้ำมันทั้งหมด และแน่นอนว่าราคาก็ถูกที่สุดเป็นเรื่องปกติ

กึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) เป็นการผสมกันระหว่างน้ำมันสังเคราะห์แท้ กับน้ำมันจากธรรมชาติ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-10,000 กิโลเมตร ด้วยราคาที่ถือว่าคุ้มค่าและไม่แพงมาก แถมประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอสมควร จึงเป็นแบบที่ได้รับความนิยมที่สุด

สังเคราะห์ (100% Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์จากน้ำมันปิโตเลียม มีความพิเศษพิถีพิถันมากที่สุด เพราะกรรมวิธีทุกอย่างถูกคิดค้นมาจากการวิจัยในแลปทดลองของผู้ผลิต แน่นอนว่าประสิทธิภาพนั้นไม่ต้องพูดถึง หล่อลื่นได้เครื่องยนต์ได้ดีที่สุด การใช้งานก็ได้มากกว่าถึง ใช้งานได้ประมาณ15,000-20,000 กิโลเมตร เพราะมีอัตราการระเหยที่ต่ำ และจุดเด่นก็คือทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เหมือนใหม่ทุกสภาพการขับขี่ใช้งาน

การเลือกความหนืด

บนฉลากจะแสดงค่า SEA (Society of Automotive Engineers) คือ มาตรฐานน้ำมันของสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ ที่เอาไว้แสดงค่าความหนืดหรือความข้นใสของน้ำมัน ทั้งที่อุณหภูมิต่ำและสูง ซึ่งที่วางขายในประเทศไทยส่วนใหญ่จะระบุไว้ ดังนี้

ตัวเลขชุดแรก คือ ค่าการทนความเย็นของน้ำมันเครื่อง หรือค่าความต้านทานการเป็นไขในอุณหภูมิต่ำ ซึ่งมีตั้งแต่ 0-20W

ตัวเลขชุดหลัง คือ ค่าความหนืดที่อุณหภูมิสูง มากน้อยขึ้นอยู่กับตัวเลข มีตั้งแต่ 5, 10, 20, 30, 40, 50 และ 60 ตามลำดับ โดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 20-40

ซึ่งค่าต่าง ๆ เหล่านี้สามารถดูได้จากคู่มือการใช้รถเพื่อเลือกที่สุดให้กับรถยนต์ของเรา

โดยค่าชุดเลขตัวแรก “5W” ค่าการทนความเย็นของน้ำมันเครื่อง ดังนี้

W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

ชุดเลขตัวที่สอง “30” บอกถึงค่าความหนืดของที่มีตั้งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยมีความหนืดน้อยตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มาก โดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 20-40

ทริกที่หลายคนเลือกเปลี่ยนคงเป็นเรื่องค่าความหนืด เพราะอุณภูมิอากาศในไทยต่อให้ใช้ 20W ก็ยังไม่น่ากังวล เครื่องยนต์ใหม่ก็มักไปเริ่มกันที่ “30” และปรับให้หนืดขึ้นเมื่ออายุเครื่องยนต์เพิ่ม เพื่อให้เครื่องฟิตขึ้น

เราขอแนะนำ Liqui Moly

บริษัท ลิควิ โมลี่ ถือกำเนิด ณ เมือง ULM ทางใต้ของประเทศเยอรมัน มานานกว่า 50 ปี โดยนำเสนอสินค้าคุณภาพสูง สารเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ สินค้าที่เกี่ยวกับรถยนต์และบริการ ปัจจุบันมีสินค้ากว่า 4,000 รายการ ลิควิ โมลี่ ได้มีการพัฒนาทดสอบผลิตภัณฑ์ในห้องทดลองของบริษัท สินค้าทุกรายการผลิตในเยอรมัน ปัจจุบันลิควิ โมลี่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม โดยมีสินค้าวางจำหน่ายกว่า 130 ประเทศทั่วโลก